เรียนเก่งง่ายๆเเค่ 7 วิธี
เรยนเก่งง่ายๆแค่เข้าใจ 7 เทคนิค
1. พักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากถ้า อยากเรียนเรียนเก่ง เพราะถ้าหากว่าเราพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ช่วงเวลาเรียนของเรานั้น ไม่สดชื่น สมองไม่แล่น และอาจถึงขั้นหลับในห้องเรียนได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เข้าใจในเนื้อหาที่เรียนในชั่วโมงดังกล่าวนั่นเอง
ดังนั้นเราจึงแนะนำให้น้องๆพักผ่อนกันให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ในช่วงเวลาเรียนนั้นสมองสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้น้องๆเข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้อย่างท่องแท้นั่นเอง
2. กล้าถามเมื่อสงสัย
เทคนิคการเรียนเก่ง ข้อ2เป็นสิ่งที่ขัดกับนักเรียนไทยมากที่สุดเพราะข้อเสียที่สำคัญของเด็กไทยอย่างหนึ่งนั่นคือการไม่กล้าถามคำถามเมื่อสงสัย อาจเพราะกลัวว่าเพื่อนจะมองว่าโง่ หรืออายที่จะยกมือถามอาจารย์ แต่นั่นจะทำให้น้องๆไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้เลยแหละ เพราะเมื่อเก็บความไม่เข้าใจไว้หนึ่งคำถาม การเรียนต่อไปที่ต้องใช้พื้นฐานจากความเข้าใจเรื่องก่อนหน้า น้องๆก็จะไม่เข้าใจเพราะยังคงไม่เข้าใจบทเรียนก่อนหน้า และจะทำให้การเรียนของน้องๆมีแต่คำถามที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด ดังนั้นถ้า อยากเรียนเก่ง "กล้าถาม" เถอะครับ การถามคำถามอาจารย์ในชั้นเรียนไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย หรือไม่ได้หมายความว่าคนที่ถามนั้นโง่ หลายๆครั้งคำถามที่น้องถามในห้องเรียนก็เป็นคำถามที่น่าสนใจ จนทำให้อาจารย์อึ้งได้เหมือนกันนะครับ
3. มีสมาธิในเวลาเรียน
เคล็ดลับเรียนเก่ง ข้อต่อมาคือการมีสมาธิ ในเวลาเรียนนั้นต้องอย่าวอกแวกไปกับสิ่งที่รบกวนสมาธิทั้งหลายรอบๆตัว เช่น เพื่อนชวนคุย เพื่อนคุยกันเสียงดัง เสียงเตะบอลจากสนามบอล เสียงก่อสร้างข้างๆโรงเรียน และอื่นๆอีกมากมาย สิ่งรบกวนบางอย่างเช่น เพื่อนชวนคุุย เพื่อนคุยกันเสียงดัง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้โดยการไม่นั่งในบริเวณใกล้ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยง การเรียนอย่างมีสมาธินั้นจะทำให้น้องๆเข้าใจบทเรียนและทำคะแนนสอบได้ดีอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่อาจารย์ออกข้อสอบก็ต้องเป็นสิ่งที่พูดในชั้นเรียนนั่นแหละ
4. จับประเด็นให้ได้
คนที่เรียนเก่งอาจไม่ได้เก็บทุกคำพูดของอาจารย์ได้ แต่ต้องเป็นคนที่จับประเด็นสำคัญในบทเรียนนั้นๆได้ การจับประเด็นนั้น เป็นเทคนิคการเรียนเก่ง ที่สามารถทำได้ง่ายๆโดยตั้งใจฟังว่าเนื้อหาไหนที่อาจารย์พูดย้ำๆ พูดว่าตรงจุดนี้สำคัญ หรือจุดนี้เคยออกข้อสอบ เมื่อจับประเด็นสำคัญได้ก็อย่าลืมขีดเส้นใต้หรือไฮไลท์ไว้ เพื่อที่เวลากลับมาอ่านทบทวนจะได้เน้นอ่านบริเวณเนื้อหาที่สำคัญ
5. อ่านเนื้อหาคร่าวๆก่อนเรียน
การอ่านเนื้อหาคร่าวๆไปก่อนเรียนเป็นสิ่งที่ควรทำถ้าหากมีเวลา เพราะการที่ได้อ่านเนื้อหาไปแล้วคร่าวๆนั้นจะทำให้พอที่จะจับประเด็นได้ว่าเนื้อหาที่กำลังจะเรียนนั้นพูดถึงเรื่องอะไร อีกทั้งเมื่ออ่านเนื้อหาไปก่อนเรียนนั้นจะทำให้เรามีข้อสงสัยในบางประเด็น แล้วเมื่อเรียนในห้องเรียนจะได้ถามข้อสงสัยเหล่านั้นกับอาจารย์ผู้สอนได้ทันที
6. อย่าสักแต่ว่าจด
การเรียนในห้องเรียนนั้นอย่าเอาแต่จดสิ่งที่อาจารย์เขียนบทกระดาน ต้องฟังคำอธิบาย และทำความเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดด้วย เพราะหลายๆครั้งที่เอาแต่จด โดยไม่ฟังและทำความเข้าใจเลย เราจะพบว่าเมื่อนำสิ่งที่จดนั้นกลับมาอ่านอีกครั้ง จะรู้สึกไม่เข้าใจเนื้อหาที่จดมาเลย
7. สอนเพื่อนๆในเรื่องที่เข้าใจ
มีงานวิจัยจำนวนมากมายได้พิสูจน์มาแล้วว่า วิธีการเรียนที่ทำให้จดจำได้ยาวนานที่สุดคือ "การสอน" เพราะในการสอนนั้นผู้สอนจะต้องเข้าใจในเนื้อหาอย่างแท้จริง รู้ว่าเนื้อหาตรงจุดไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ และสามารถลำดับเนื้อหาที่จะสอนเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้ ดังนั้นการสอนเพื่อนๆจะทำให้น้องๆได้ทำความเข้าใจเนื้อหานั้นๆอย่างเป็นระบบ ทำให้น้องๆได้ทบทวนความรู้ ความเข้าใจของตัวเอง และทำให้มีแต่เพื่อนๆรักเรา เมื่อเราไม่เข้าใจตรงจุดไหนพวกเขาก็พร้อมที่จะอธิบายให้น้องฟังจนเข้าใจ
10 สูตรหน้าขาวใส ที่คุณทำเองได้ที่บ้าน
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 1 : ว่านหางจระเข้ + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าด้วยสมุนไพรสูตรว่านหางจระเข้นี้ ทำได้โดยนำว่านหางจระเข้ 3 ใบมาล้างให้สะอาดพร้อมแกะเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วปั่นพร้อมกับไข่ไก่ 1 ฟอง ปั่นจนละเอียดข้นเป็นเนื้อเดียวกัน พอกหน้าครั้งละ 15-20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะได้ผิวหน้าที่ชุ่มชื่นสวยใสและเด้ง
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 2 : เมล็ดทานตะวัน + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าด้วยเมล็ดทานตะวันนี้เริ่มจากนำเมล็ดทานตะวันที่แกะเปลือกแล้วครึ่งถ้วยมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำมาปั่นกับไข่ไก่ 1 ฟองจนได้ครีมข้นเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าข้นเกินไปให้ใส่ไข่เพิ่มอีก 1 ฟอง การพอกหน้าให้พอกก่อนนอน ครั้งละ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะได้หน้าสวยใสและเด้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ^ ^
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยเมล็ดทานตะวัน
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 3 : ใบบัวบก + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าด้วยสมุนไพรสูตรนี้เริ่มจากใช้ใบบัวบกและก้าน 1 ถ้วย ล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆปั่นรวมกับไข่ไก่ 1 ฟอง จนได้ครีมข้นสีเขียวสด ถ้าข้นเกินไปให้เติมนมสดเพื่อให้เหลวขึ้น สูตรนี้ให้พอกก่อนนอน โดยพอกไว้ครึ่งชั่วโมงก่อนล้างออก หน้าจะใสเด้งจนมัวแต่ส่องกระจกไม่ยอมนอนกันเลยทีเดียว ^ ^
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยใบบัวบก
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 4 : ยอดกระถิน + ว่านหางจระเข้ + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าใสสูตรนี้ใช้ว่านหางจระเข้ที่ล้างและแกะเปลือกแล้วครึ่งด้วย ยอดกระถิน 5 ยอด และไข่ไก่ 1 ฟอง ปั่นรวมกันจนได้ครีมเหนียวข้น พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ไม่เกิน 2 สัปดาห์ หน้าจะเนียนใสเด้งดึ๋งยังกับสาวรุ่น อิอิ
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยกระถิน
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 5 : ใบเตย + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้ากระชับรูขุมขนสูตรนี้ใช้ใบเตย (ไม่ใช่ใบเตย อาร์สยามนะ ^ ^) จำนวน 5 ใบ ล้างให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับไข่ไก่ 1 ฟองจนเป็นเนื้อเดียวกัน เหนียวและข้น ใช้พวกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที หน้ากระชับ รูขุมขนจางลง สวยเด้งอย่างไม่น่าเชื่อ…
หมายเหตุ – กดเพื่อดูรายละเอียด สูตรพอกหน้าด้วยใบเตย
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 6 : ว่านหางจระเข้ + ใบตำลึง + ไข่ไก่
สูตรพอกบำรุงผิวหน้าสูตรนี้ใช้ใช้ว่านหางจระเข้ที่ล้างและแกะเปลือกแล้วครึ่งถ้วย ใบตำลึงครึ่งถ้วยและไข่ไก่ 1 ฟอง ปั่นให้เข้ากันจนได้ครีมเหนียวข้น ใช้พอกหน้าครั้งละ 15-20 นาทีหรือจนกว่าครีมที่พอกไว้แห้งจึงล้างออก ผิวหน้าจะชุ่มชื่นมีชีวิตชีวานวลเนียนใสขึ้นทันที
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 7 : สะเดา + ไข่ไก่
สูตรพอกหน้าลดสิวหรือสูตรพอกหน้าด้วยสมุนไพรสูตรนี้ให้ใช้ยอดสะเดาที่ล้างสะอาดแล้ว 1 ถ้วย ปั่นรวมกับไข่ไก่ 1 ฟอง จนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันและได้ครีมเขียวข้น ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที ก่อนล้างออก จะได้ผิวหน้าที่นวลเนียนไร้สิวฟ้ารบกวน
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 8 : มะนาว + น้ำผึ้ง
สูตรพวกหน้าด้วยน้ำผึ้งสูตรนี้ใช้มะนาว 2 ลูกและน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย เริ่มจากนำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำผึ้งกวนให้เข้ากัน จะได้ครีมหนืดข้น นำมาพอกหน้าก่อนนอนหรือภายหลังตื่นนอนก็ได้ครั้งละ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะผิวหน้าและผิวพรรณที่เต่งตึงมีน้ำมีนวล แลดูอ่อนกว่าวัยและไร้รอยตีนกา
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 9 : แครอท + น้ำผึ้ง
ครีมพอกหน้าขาวสูตรนี้ใช้แครอท 1 หัวที่ล้างสะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย จนได้ครีมละเอียดเนื้อเดียวกันสีส้มอ่อนๆ ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 15-20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะได้ผิวหน้าที่สดใส ขาวนวลขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 10 : กล้วยหอม + น้ำผึ้ง
สูตรพอกหน้าใสสูตรนี้ใช้กล้วยหอมที่สุกแล้ว 1 ผล หั่นเป็นชิ้นเล็กๆปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย ปั่นจนได้ครีมข้นเนื้อเดียวกัน ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ไม่ถึงเดือนจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลและเนียนใสของผิวหน้า
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 11 : มะเขือ + น้ำผึ้ง
สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้งสูตรนี้ใช้มะเขือขื่นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ (ไม่ต้องเอาเมล็ดออก) ครึ่งถ้วยและน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกได้ถึงผิวที่สดชื่นและเกลี้ยงเกลาขึ้นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
สูตรพอกหน้า สูตรที่ 12 : ยอดตำลึง + น้ำผึ้ง
สูตรพอกหน้าด้วยสมุนไพรสูตรนี้ใช้ยอดตำลึงที่ล้างสะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆครึ่งถ้วย ปั่นรวมกับน้ำผึ้งอีกครึ่งถ้วยจนได้ครีมเหนียวข้น ใช้พอกหน้าก่อนนอนครั้งละ 15-20 นาที ทำซ้ำ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ จะรู้สึกได้ถึงผิวหน้าที่ชุ่มชื่นสดใสและเต่งตึง ไร้ร่องรอยตีนกา
เทคนิคการต้มไข่ให้เป็นยางมะตูม
นำไข่ไก่ หรือไข่เป็ดที่เราเตรียมไว้ ไปแช่ในน้ำอุ่นเป็นเวลา 1 นาที จากนั้นนำไข่ลงไปต้มในน้ำที่เดือดแล้ว เป็นเวลาประมาณ 6 นาที จากนั้นให้ตักไข่ที่เราต้มอยู่มาแช่ในน้ำเย็นทันที รอจนไข่เย็นแล้วก็สามารถนำมาแกะเปลือกทานได้เลย
ต้มถั่วแดงให้อร่อย
ถั่วแดงต้มนำ้ตาลเป็นอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการสูง แถมวิธีทำยังง่ายอีกด้วย แต่การต้มให้อร่อยนั้นมีเคล็ดลับเล็กน้อยคือต้องนำถั่วแดงมาคั่วให้สุก จากนั้นนำไปต้มจนเปื่อยแล้วจึงใส่น้ำตาล เพราะถ้าใส่น้ำตาลตอนถั่วยังต้มไม่เปื่อย ถั่วจะกระด้างและไม่อร่อย
ซ่อมกระเบื้องเรื่องไม่ยาก
หากกระเบื้องปูพื้นหลุด เราซ่อมแซมได้โดยแกะส่วนที่หลุดออกมาก่อน แล้วขูดตกแต่งให้เรียบ จากนั้นใช้กาวทาไม้ผสมน้ำยากันชื้นทาที่ผิวด้านหลังกระเบื้อง 30 นาที แล้วติดกระเบื้องลงไปที่พื้น ใช้กระดาษกาวแปะทับไว้ 1 วัน หลังแกะกระดาษกาวออกกระเบื้องจะติดแน่นที่พื้นดังเดิม
เปิดแอร์ไม่เปลืองไฟ
เครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมาก จึงไม่ควรเปิดปิดเครื่องปรับอากาศเกินวันละสามครั้ง และขณะที่เปิดควรปิดประตูหน้าต่างให้สนิทเพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นออกจากห้อง นอกจากนั้นควรปรับทิศทางให้ลมเป่าขึ้น เพราะการเป่าลงอากาศจะกระจายได้ไม่ทั่วถึง ทำให้สิ้นเปลืองกำลังไฟ
หุงข้าวให้อร่อย
การหุงข้าวอาจดูเป็นเรื่องง่าย แต่หุงอย่างไรให้รสชาติหอมอร่อยเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเทคนิคสักเล็กน้อย นั่นคือเมื่อหุงข้าวเสร็จแล้วอย่าเปิดฝาทันที ควรปิดฝาไว้ก่อน 10-15 นาที เพื่อให้เมล็ดข้าวดูดน้ำได้เต็มที่ จากนั้นเปิดฝาแล้วคนข้าวให้ทั่วถึงกัน จนไอน้ำระเหยออกหมด คราวนี้ไม่ว่ามื้อไหนก็ได้รับประทานข้าวอร่อยถูกใจแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น